วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คิดถึง Il Mare



Il Mare (ลิขิตรักข้ามเวลา)

หนังเกาหลีเรื่องแรกที่เข้ามาเบิกทางให้กระแส เกาหลี ในบ้านเรา เมื่อหลายปีก่อน หนังเรื่องนี้ผมชอบมากเลยครับ ภาพสวย ดนตรีเพราะ เนื้อเรื่องก็ดี ถือเป็นเลิฟ สตอรี่ ในดวงใจเรื่องหนึ่งเลย วันนี้หยิบเอาแผ่นขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกยังเหมือนเดิมเมื่อตอนดูแรกๆ ถามว่าชอบฉากไหนที่สุด คงเป็นตอนที่ พระเอกไปดักรอนางเอกที่สถานีรถไฟล่ะครับ นางเอกเดินไปกับแฟน แล้วมองพระเอกเหมือนคนแปลกหน้า ส่วนพระเอกนั้นได้แต่ในพูดในใจ “ผมไม่มีความหมายกับคุณแม้แต่น้อยนิดเลยงั้นเหรอ” แต่ก็ว่านางเอกไม่ได้หรอกเพราะตอนนั้นนางเอกไม่รู้จักพระเอกนี่ครับ พระเอกรู้จักนางเอกฝ่ายเดียว แต่ถ้าโดนใครสักคนที่เรารักมองด้วยสายตาแบบนั้นเป็นใครก็คงเจ็บล่ะครับ ( พระเอกอยู่ในปี 1997 ส่วนนางเอกอยู่ในปี 1999 ครับ สองคนนี้ติดต่อกันผ่านตู้จดหมายทะลุมิติ พระเอกเจอนางเอกประจำ แต่นางเอกไม่รู้จักพระเอกเลย ) วันนี้เลย เอาประโยคโดนๆมาให้อ่านกันเล่นๆสำหรับคนที่เคยดูแล้ว แต่ถ้าใครที่ยังไม่เคยดูล่ะก็ แนะนำครับ


“ฉัน... ฉันหลงคิดว่ารักคือความสุขนิรันดร์ซะอีก” (อุนจู, นางเอก)


“การทำอะไรกินบางครั้งหลายทุกข์ได้” (ซง หย่วน, พระเอก)


“เราทรมานใจ เพราะว่ารักดำเนินต่อไป โดยยังคงฝังใจอยู่ หาใช่เพราะมันจากไปไม่” (อุนจู)


“การมีความรักแล้วสูญเสียมันไปให้คนอื่น ย่อมจะดีกว่าการที่ไม่เคยมีความรักซะเลยเป็นไหนๆ” (ซ่งหยวน)

“ผมมีความรู้สึกราวกับถูกบุกรุกโดยความทรงจำที่ผมควรจะลืม แทนที่จะจดจำเอาไว้ คุณมีความทรงจำที่อยากโยนมันทิ้งมั้ย” (ซ่งหย่วน)

“การซักผ้าอาจจะรักษาโรคใจได้นะ” (พระเอกพูดกับหมา)

“ผมรับไม่ได้ ทั้งความตายของพ่อผม หรือความรักของผมที่มีต่อพ่อ” (ซง หย่วน)


“เธอรู้มั้ย มีอยู่ 3 อย่างที่คนเราซ่อนเร้นเอาไว้ไม่ได้ คือ การไอ ความยากจน และรัก ยิ่งปกปิดเอาไว้เท่าไหร่มันก็ยิ่งโผล่ออกมา แต่เราก็ยังอุตส่าห์พยายามซ่อนเร้นมันอยู่ดี ฉันนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ร้องจนไม่เหลือน้ำตาอีกแล้ว รักคือความปวดร้าวที่คนเราก่อมันขึ้นมาเองไม่มีใครใช้ ฉันหวังว่าคุณคงพบความสงบในตัวคุณ ความอบอุ่นและสุขสบายของบ้าน อิล แมเร่ นั้น เกิดจากความรักที่สะสมอยู่ภายในตัวของมันเองจากผู้ที่อาศัยอยู่ รักมักมาสู่เราในหลายๆรูปแบบ แต่มันก็เหมือนๆกันทั้งนั้นแหละ ฉันได้แต่ตั้งความหวังไว้ว่าหนังสือของพ่อคุณจะช่วยให้คุณเข้าใจท่านได้ดียิ่งขึ้น”(จดหมายที่อุนจูเขียนถึงซงหย่วน หลังจากพ่อของซงหย่วนเสียชีวิต)


“คุณอุนจู ใครทุกๆคนที่ผมรักน่ะ มักจะอยู่ไกลเกินเอื้อมเสมอ และผมได้แต่ปวดร้าวเมื่อคิดถึงคนเหล่านั้น “(ซ่งหยวน)

“คุณชอบดื่มไวน์มั้ย เขาว่ากันว่าคนชอบดื่มไวน์เป็นรักสันโดน แต่กับผมมันไม่สำคัญหรอก” (ซ่งหยวน)

“ฉันคิดว่าฉันลืมเขาลงแล้ว แต่พอได้ยินเสียงเขา หัวใจก็แตกสลายอีกครั้งจนได้ อาจจะเป็นเพราะ อาจเป็นเพราะฉันมันใจอ่อนเกินไปจึงไม่สามารถตัดเขาลงได้ ฉันทุ่มกายให้เขา ทุ่มเทใจให้เขาหมด เมตตาช่วยยับยั้งไม่ให้เขาทิ้งฉันไป” (อุนจูเขียนจดหมายถึงซงหย่วนหลังจากได้เจอกับแฟนเก่าอีกครั้ง)


“ความรักแท้ต้องมาจากความจริงใจต่อกันโดยไม่มีใครบังคับ” (เพื่อนนางเอก)

“ผมจะช่วยคุณเอง ทำไมคุณถึงไม่บอกความรู้สึกนี้เสียตั้งแต่แรกเก็บเอาไว้เพื่ออะไร คุณยังจำจดหมายฉบับแรกของคุณได้มั้ย คุณขอให้ อิล แมเร่ นำโชคดีมาสู่ผม การที่ได้รู้จักคุณ นับว่าเป็นโชคอันใหญ่หลวงแล้วสำหรับผม คราวนี้ผมอยากจะคืนโชคนี้ให้แก่คุณ คุณหวังอะไรไว้ขอให้สมหวังดังใจ ขอบคุณมากสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง โชคดีนะครับ ลาก่อน” (จดหมายฉบับสุดท้ายที่ซงหย่วนเขียนถึงอุนจูก่อนโดนรถชนต์เสียชีวิต ต่อหน้าอุนจู)

ใครเคยดูเรื่องนี้บ้างก็แวะมาทักทายกันได้นะครับ














วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เป็นกำลังใจให้น้องเจวีและครอบครัวครับ

มะกี๊บอกว่าทำงานอยู่ อยากจะบ่นนิดหนึ่งนะครับ พรุ่งนี้วันเสาร์ ถ้าไม่เร่งเกินไปไว้ต่อพรุ่งนี้ก็ได้นะครับ อย่านอนดึกนักเลย เดี๋ยวจะไม่สบาย ตอนนี้เปิดเรียนแล้ว ผมรู้ว่าคงได้คุยกับแป้งน้อยลง ไม่เป็นไรนะครับ คิดถึงผมก็ส่งเมล์มาทิ้งไว้ ให้รู้ว่าผมไม่ได้หนีหายไปไหน ยังอยู่ใกล้ๆแป้งเสมอครับ


เมื่อวานผมไปเจอกระทู้หนึ่งมาล่ะครับ http://www.pantip.com/cafe/family/topic/N9324585/N9324585.html

อ่านตอนแรกๆก็แปลกๆอยู่เหมือนกัน แต่อ่านไปอ่านมาน้ำตาไหลซะงั้น กลายเป็นคนขี้แยไปเลย (ช่วงนี้ร้องไห้บ่อย)

มีคุณแม่คนหนึ่งมาตั้งกระทู้ถามว่าถ้าลูกเราที่เสียค่าเทอมแพงๆ แล้วมีเด็กพิเศษมาเรียนด้วยคุณจะคิดว่ายังไง

หลายคนก็เข้ามาแสดงความเห็น ต่อว่าเจ้าของกระทู้ว่า ใจแคบ นิสัยไม่ดี รังเกียจเด็กพิเศษ ว่าไปหลายอย่างเลย แต่พอไปๆมาๆ กลายเป็นว่าเจ้าของกระทู้นั่นเองล่ะครับ ที่เป็นคุณแม่ของเด็กพิเศษ แล้วลูกชายของเธอโดนทางโรงเรียน ไม่รับเข้าเรียนด้วยเพราะว่ามีผู้ปกครองคนอื่นเขียนหนังสือไปฟ้องทางโรงเรียน คุณแม่คนนั้นโพสหนังสือขึ้นมาให้ดูด้วยครับแต่เซ็นเซอร์ชื่อโรงเรียนไว้ แล้วทางโรงเรียนก็บอกว่า ไม่ต้องให้น้องคนนี้มาเรียนแล้ว น่าสงสารคุณแม่คนนี้มากเลยครับ ยิ่งตอนที่เธอเอารูปของน้อง เจวี (ที่เป็นเด็กพิเศษ) พร้อมจดหมายแนะนำตัวของน้องเขามาโพสให้อ่าน น้ำตาไหลเลย น้องเขาน่ารักมากเลย อีกอย่างนะครับ แพทย์เขาก็มีหนังสือยืนยันมาแล้วว่าน้องเจวีนี้สามารถเข้าเรียนกับเด็กปกติทั่วไปได้ ผมเรียนครูมา อ่านความเห็นของทางโรงเรียนแล้วของขึ้นเลยล่ะ เลวจริงๆ มองแต่เรื่องธุรกิจอย่างเดียว

ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้แป้งฟัง เพราะว่าสังคมของแป้งนั้นกว้างกว่าผม ถ้าเรามีโอกาสทำเพื่อคนอื่นได้ ยิ่งมากโลกเรามันก็ยิ่งน่าอยู่ แต่ถ้าเราปล่อยผ่านไปโดยไม่สนใจเลย ต่อไปลูกหลานของเราเขาจะเติบโตมายังไง ในเมื่อโรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่ให้เรียนรู้เรื่องดีๆกับมีแต่สิ่งที่เห็นแก่ตัวให้เรียนรู้ ทุกวันนี้สังคมเรามันก็แย่พออยู่แล้ว (ขนาดคนชาติเดียวกันยังฆ่ากันเองเลย) หรือจะจริงอยากที่เขาว่าก็ไม่รู้ คนไทยชอบทำบุญแต่ใจแคบ ทำบุญไม่ใช่เพราะอยากให้อยากช่วยเหลือ แต่เพราะอยากให้ตัวเองได้บุญเลยทำบุญ เข้าสังคมก็ใส่หน้ากากเข้าหากัน คิดแต่จะหาประโยชน์ใส่แต่ตัวเองไม่เคยคิดเผื่อแผ่ถึงคนอื่นเลย ที่พูดมาไม่ได้ว่าจะบอกว่าตัวเองเป็นคนดีแล้วมาว่าคนอื่นนะครับ แต่คิดว่าผมไม่ใช่คนเลว และดีพอที่จะกล้าพูดเรื่องนี้ได้เท่านั้นเอง

ขอโทษนะครับแป้งบ่นมาซะยาวเลย ผมแค่สงสารแม่น้องเจวีกับน้องเขาน่ะครับ

ตอนนี้ห้าทุ่มยี่สิบกว่านาทีแล้ว ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ตอนนี้แป้งคงจะหลับฝันหวานอยู่เลยกระมัง นอนหลับให้สบาย ฝันดีนะครับ ตื่นมาก้ขอให้เจอเช้าวันที่สดใสไปทุกวัน

คิดถึงเสมอครับ